วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตลอดชีวิตเราใช้เวลานอนไปกับ ?


แล้วทำไมเราต้องนอนด้วยล่ะ ไปอ่านหนังสือ เล่นเกม ออกกำลังกายไม่ดีกว่าเหรอ
        เข้ามาใกล้ๆจะเล่า...ความลับของการนอนหลับ...ให้ฟัง



        น่าแปลก ที่การวิจัยมากมาย ตลอดระยะเวลาหลายปี ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า ทำไมเราถึงต้องนอน?
        แต่เราตายได้ ถ้าไม่นอน...
        สัตว์ทุกชนิดบนโลกต้องพักผ่อนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ส่วนสัตว์ที่หลับเหมือนมนุษย์นั้น คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนก แม้กระทั่งปลาโลมาเองก็ยังหลับ แถมหลับลึกซะด้วย (ถ้ามันมั่นใจว่าปลอดภัย)


การนอนหลับคืออะไร?
        การหลับไม่ได้หมายความว่า เป็นช่วงเวลาที่เราหมดสติ ไม่รู้ตัว แต่เป็นเวลาที่มีการเปลียนแปลงของกระแสไฟฟ้าในสมอง และการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของสารเคมีในสมอง
  
เมื่อหลับไปแล้ว เกิดอะไรขึ้น?
        พอเพื่อนๆ หลับแล้ว จะเข้าสู่วงจรการหลับหลายช่วง ที่จะเป็นการหลับลึกลงเรื่อยๆ         
        ระยะที่ 1 หรือหลับตื้น เราจะครึ่งหลับครึ่งตื่น สลึมสลือ ยังพอรู้สึกตัวอยู่ เพียงแต่กล้ามเนื้อต่างๆ อ่อนแรง (เรามักถูกผีอำในขั้นนี้แหละ)
        ระยะที่ 2 เริ่มหลับแล้ว แต่ยังไม่สนิท คลื่นสมองทำงานช้าลง
        ระยะที่ 3 หลับลึก คลื่นสมองจะช้ามาก การฝันหรือที่เรียกว่าการหลับช่วงเร็ม (Rem) จะเกิดขึ้นในระยะนี้ สลับกับการหลับลึก ทำให้เราฝันแล้วหยุด ฝันแล้วเปลี่ยนเรื่องไปมา สลับกันวุ่นวายไปหมด ไม่ต่อเนื่อง ในช่วงที่ฝัน ดวงตาเราจะกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นเร็วขึ้น และหายใจเร็วขึ้น
  
ประโยชน์ของการหลับ...เคล็ดลับเรียนเก่ง
        ทฤษฎีที่ยอมรับอย่างกว้างขวางก็คือ เราต้องหลับเพราะสมองต้องการพักผ่อน และยิ่งไปกว่านั้น ได้มีการทดลอง นำคนจำนวนหนึ่งมาทำการทดสอบ และให้หลับก่อนตื่นหนึ่ง และกลับมาทำการทดสอบอีกครั้ง ผลทดลองพบว่า คนที่หลับจนถึงช่วงฝัน จะทำคะแนนได้ดีในส่วนของการจดจำแบบแผน ในขณะที่คนหลับลึกจะท่องจำได้ดีกว่า 
        การทดลองนี้กำลังบอกเราว่า...ในช่วงที่หลับ สมองจะเปลี่ยนความทรงจำระยะสั้นเป็นระยะยาว และลบความทรงจำที่ไม่สำคัญทิ้งไป ทำให้เราจำสิ่งสำคัญได้ดียิ่งขึ้น หรือเป็นการจัดระเบียบสมองนั่นเอง 
        รู้ไหมว่าจากการรวบรวมข้อมูล เด็กที่ได้เกรด C (เกรด 2) หรือต่ำกว่า มักนอนน้อยกว่าเด็กที่ได้เกรดสูงกว่า
  
ประโยชน์ของการหลับ...เคล็ดลับตัวสูง
        นอกจากนี้การศึกษายังพบอีกว่า ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของมนุษย์ หรือที่เรียกว่า "โกรท ฮอร์โมน" (Growth Hormone) จะหลั่งปริมาณสูงสุดเมื่อเราหลับสนิท หรือประมาณหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ดังนั้นถ้าเรานอนน้อย หรือหลับไม่สนิท หรือยังไม่ทันหลับสนิทก็ต้องตื่นไปโรงเรียนแล้ว ฮอร์โมนตัวนี้ก็จะหลั่งออกมาน้อยมาก ทำให้เพื่อนๆ สูงช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ และนอกจากนี้ โกรท ฮอร์โมนนี้ยังเป็นตัวกระตุ้นความหิวและอิ่ม หากมันหลั่งผิดปกติ ก็อาจเป็นสาเหตุให้เพื่อนๆ อ้วนได้


        ดังนั้นเพื่อนๆทุกคนควรจะนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยควรนอนให้ได้เต็มอิ่ม 9 ชั่วโมงต่อคืน หมายความว่าทุกคนควรจะเข้านอนตั้งแต่ 3 ทุ่ม
        ส่วนวันใกล้สอบยิ่งต้องนอนใหญ่ ไม่ใช่เอาแต่อ่านหนังสือ กะเก็บจนหยดสุดท้าย แล้วอาบน้ำไปสอบเลย ถ้าทำแบบนั้น ความทรงจำของน้องจะไม่เปลี่ยนเป็นความทรงจำระยะยาว เป็นผลให้แค่เดินสะดุด จิ้งจกทัก หมากระโจนใส่ ก็ตกใจลืมหมดแล้ว (ประคองกันเข้าห้องสอบเลยทีเดียว) แถมเอาแต่เล่นเกมถึงเช้า ไม่ยอมหลับ มีผลทำให้เตี้ยอีกด้วย!



วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

อันตรายจากน้ำดื่มในภาชนะบรรจุปิดสนิทประเภทพลาสติก



             คุณรู้หรือไม่ว่าการเก็บวางผลิตภัณฑ์อาหารในสถานที่ที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่เว้นแม้แต่น้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับความนิยมสูง เพราะหากเก็บไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสม ก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เช่น 

         
- ถูกแสดงแดดหรือความร้านเป็นเวลานาน จะทำให้สารเคมีบนขวดพลาสติกสลายตัว และละลายปนในน้ำดื่ม

         
- วางน้ำดื่มไว้ใกล้สารเคมีหรือวัตถุอันตราย หรือผงซักฟอก น้ำในขวดพลาสติกจะดูดกลิ่นสารเคมีเข้าไปได้ ทำให้มีกลิ่นไม่ชวนดื่ม และมีโอกาสที่สารนั้นอาจปนเปื้อนสู่น้ำดื่ม เราก็จะได้รับสารเคมีเข้าไปด้วย

         
ในกรณีที่เป็นน้ำดื่มบรรจุถัง 20 ลิตร ซึ่งเป็นภาชนะพลาสติกเช่นกัน ถ้าภาชนะหรือถังพลาสติกมีลักษณะต้องห้าม ก็อาจมีอันตรายต่อการบริโภคน้ำดิ่มได้ เช่น 

         
-มีรอยแตกร้าว / ขีดข่วนภายใน ทำให้สิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคสะสมตัวปนเปื้อนในน้ำดื่ม

         
- ตัวถังมีสีฟ้าทึบหรือเหลือง ซึ่งอาจเป็นถังน้ำที่ใช้พลาสติกรีไซเคิลแล้วใส่สีกลบเกลื่อน อาจทำให้น้ำที่บรรจุไม่สะอาด

         
- ถังมีลักษณะเป็นซอกมุม มีคอขวดหรือหูหิ้ว ซึ่งเป็นลักษณะที่ยากแก่การล้างทำความสะอาด
การเลือกซื้อน้ำดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท

         
- ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมาย อย. และมีเลขสารบบในกรอบเครื่องหมายนั้น 

         
- ฉลากจะต้องมีภาษาไทยระบุชื่อน้ำดื่ม หรือน้ำบริโภค ชื่อ และที่ตั้งของผู้ผลิตที่ชัดเจน

         
- ภาชนะบรรจุต้องสะอาด ไม่มีสารปนเปื้อนหรือรอยรั่วซึม ฝาปิดผนึกเรียบร้อย

         
- ลักษณะของน้ำดื่มต้องสะอาดใส ไม่มีตะกอน ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่มีสี กลิ่น รส ที่ผิดปกติ

         
- น้ำดื่มชนิดบรรจุถัง 20 ลิตร ควรเลือกถังชนิดกลม มีสีขาวขุ่น หรือใส สภาพถังต้องสะอาด

         
สนิทประเภทพลาสติเพื่อสุขภาพและความปลอดภัย อย่ามองข้ามเรื่องเล็ก ๆ ที่เป็นสาเหตุของอันตรายจากน้ำดื่มในภาชนะบรรจุปิด


วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

แนวทางป้องกันและแก้ไข

            
          ควรหลีกเลี่ยงการใช้พาราเซตามอล ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับเรื้อรัง พิษสุรา ภาวะขาดสารอาหาร และในผู้ที่กำลังรับประทานยาที่กระตุ้นเหนี่ยวนำเอนไซม์ cytochrome P450 2E1  ...ห้ามทานพาราเซตามอลแล้วดื่มสุรา หากกำลังใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาบรรเทาหวัด ให้อ่านฉลากให้ดีว่ามีส่วนผสมของพาราเซตามอลหรือไม่ และไม่รับประทานซ้ำซ้อนข้าไปอีก...

         
ไม่ควรใช้ยานี้เกินวันละ 2,600 มิลลิกรัม (ประมาณ 5 เม็ด ในขนาด 500 mg, จำนวน 8 เม็ดในขนาด 325 มิลลิกรัม) ขนาดรับประทานคือ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม สูงสุดไม่เกินครั้งละ 650 มิลลิกรัม การใช้ยาในเด็กเล็กให้ดูฉลาก และคำนวณความต้องการให้ถูกต้องก่อนเสมอ เพราะยาน้ำนี้ในประเทศไทยมีหลายขนาด ปริมาณมิลลิกรัมต่อหนึ่งช้อนชาแตกต่างกันไป

         
ใช้พาราเซตามอลติดต่อกันไม่เกิน 3 วัน ควรปรึกษาแพทย์หากอาการต่าง ๆ ไม่ดีขึ้น เพื่อค้นหาสาเหตุโรคที่แท้จริง และแก้ไขตรงจุดต่อไป

         
การใช้ยาทางเลือก สามารถเลือกได้หลายขนาน เช่น ยาเขียวแก้ไข้ ยาจันทลีลา ยาฟ้าทะลายโจร ยาขมชนิดต่างๆ  ล้วนมีฤทธิ์ลดไข้

         
หากจะต้องการใช้พาราเซตามอลให้ปลอดภัย คือ รับประทาน N-Actyl Cysteine ร่วมไปด้วย ก็จะเพิ่มปริมาณกลูต้าไธโอนในตับ ทำให้สารพิษ toxic metabolite  ชื่อ NAPQI ที่เกิดจากขบวนการดีท๊อกพาราเซตามอลที่ตับมีจำนวนลดลง โดยถูกกลูต้าไธโอนจับเปลี่ยนเป็นสารประกอบที่ไม่อันตรายขับออกจากร่างกายได้

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

สาเหตุของภาวะพิษจากพาราเซตามอล


         
ภาวะพิษจากพาราเซตามอลเกิดขึ้นได้จากเหตุโดยตั้งใจ คือการรับประทานยาเกินขนาดเพื่ออัตวินิบาตกรรม และโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเกิดได้จากสาเหตุต่าง ๆ  ดังนี้ 
         
1.รับประทานยาชนิดอื่นที่มีส่วนผสมของราราเซตามอลโาดยไม่ทราบ แล้วรับประทานพาราเซตามอลเข้าไปอีก เนื่องจากปัจจุบันยาหลายชนิดมีส่วนผสมของพาราเซตามอล เช่น ยาบรรเทาหวัดลดไข้ ยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ยาคลายกล้ามเนื้อหลายชนิด 
         
2. ปัจจัยเฉพาะบุคคลที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตับได้ง่าย เช่นในผู้ที่ดื่มสุรา ผู้ป่วยโรคตับภาวะขาดสารอาหารซึ่งส่งผลให้ระดับกลูต้าไธโอนลดลง ในกลุ่มนี้ก่อให้เกิดพิษจากพาราเซตามอลได้ง่าย แม้ว่าจะรับประทานในขนาดปกติก็ตาม
         
3. การใช้ยาร่วมกัน โดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นเอนไซม์ในระบบขับสารพิษชื่อ CYP450 2E1 ในตับเช่นยา phenytoin, carbamazepine, rifampin เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

พาราเซตามอล อันตรายอย่างไร?


         
ในแต่ละปี สหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยที่ได้รับรายงาน ความเป็นพิษจากยาพาราเซตามอลประมาณ 100,000 ราย ถูกนำส่งห้องฉุกเฉิน 56,000 ราย ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 26,000 ราย การใช้พาราเซตามอลเป็นประจำจะทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นมะเร็งไตเพิ่มขึ้นเท่าตัว ซึ่งโรคนี้คร่าชีวิตคนอเมริกัน 12,000 ราย ต่อปี อุบัติการณ์ในการเกิดมะเร็งไตในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นถึง 126% นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา การก้าวกระโดดของการเกิดโรคนี้อาจจะเกี่ยวโยงกับการใช้ยาที่ผสมพาราเซตามอลเพิ่มขึ้น เนื่องจากอนุมูลอิสระจาก toxic metabolite ของพราราเซตามอลกระจายไปทั่วร่างกาย เพราะฉะนั้นก็สามาารถทำให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับความแก่ชราอย่างอื่นได้อีก นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองในสัตว์พบว่าพาราเซตามอลทำให้เกิดต้อกระจกในสัตว์ทดลองได้

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

ภัยเงียบจากพาราเซตามอล


        พาราเซตามอล เป็นยาสามัญประจำบ้านที่เรียกได้ว่าแทบจะมีติดบ้านกันเกือบทุกหลังคาเรือน และดูเหมือนว่าเราจะใช้ยาชนิดนี้ตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ ให้กับลูก ๆ หลาน ๆ ให้กับตัวเอง ใช้เรื่อยไปตั้งแต่ปวดหัว เป็นไข้ ตัวร้อน ปวดประจำเดือน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดฟัน ฯลฯ เป็นยาสามัญที่สามารถซื้อหาได้อย่างสะดวก และเราจะพบยาตัวนี้ ทั้งที่เป็นยาเดี่ยว เช่น ไทลีนอล, พานาดอล, เทมปร้า, คาลปอล, ซาร่า หรือเป็นยาผสมในยาตัวอื่น เช่น ทิฟฟี่, ดีคอลเจน ฯลฯ

        
อย่างไรก็ตาม การใช้ยานี้อย่างพร่ำเพรื่อ และใช้ติดต่อกันนานเกินไป อาจก่อนปัญหาภาวะพิษต่อตับได้ ในประเทศสหรัฐอเมริกา เราอาจจะรู้สึกแปลกใจที่ทราบว่าสาเหตุลำดับต้น ๆ ของการเกิดตับวาย ไม่ใช่มาจากแอลกอฮอล์ หรือมาจากไวรัสตับอักเสบ แต่สาเหตุอันดับหนึ่งกลับมาจากยาโดยเฉพาะพาราเซตามอล เพื่อนคู่บ้านนั่นเอง

        
มีผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาใโรงพยาบาลเนื่องจากพิษของพาราเซตามอล เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเกิดตับวายในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากตับวาย จากพาราเซตามอลต่อปีในปัจจุบันยังสูงกว่าตัวยารักษาเบาหวานRezulin (troglitazone) ซึ่งถูกถอดทะเบียนออกไปแล้วเนื่องจากพิษต่อตับเสียอีก 

          กลไกการทำลายตับของยา
Acetaminophen หรือพาราเซตามอลนี้ พบว่ายาชนิดนี้เมื่อใช้ในร่างกาย การจะขับออกไปจากร่างกายได้ต้องผ่านขบวนการขับพิษที่ตับสองขั้นตอน ขั้นตอนที่หนึ่งก่อให้เกิดสารผลิตผลที่เป็นพิษ (Toxic metabolite) ชื่อ NAPQI ซึ่งต้องเข้าสู่ขั้นตอนที่สองซึ่งใช้สารกลูต้าไธโอนในตับลดลง หากใช้นานติดต่อกันหรือใช้เกินขนาด ก็จะทำให้ระดับสารผลิตผลที่เป็นพิษนี้เพิ่มมากขึ้นส่งผลเป็นพิษต่อตับรุนแรงในที่สุด ดังนั้น ถ้าหากสามารถผลิตยาที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอล และ N-acetyl cysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ช่วยเพิ่มระดับของสารกลูต้าไธโอนในเซลล์ได้ วิธีการนี้อาจจะสามารถกำจัด หรือช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากพาราเซตามอลได้ (ซีสเทอีนเป็นส่วนประกอบในยาขับเสมหะ เป็นกรดอะมิโนซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตกลูต้าไธโอน หากต้องการให้ระดับกลูต้าไธโอนในเซลล์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเซลล์ตับสูงขึ้นจะใช้ N-acetyl Cysteine เพราะการรับประทานกลูต้าไธโอนโดยตรง อาจไม่ได้ผลเช่นนั้นมากนัก เนื่องจากกลูต้าไธโอนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงถูกใช้ไปในการต้านอนุมูลอิสระในระบบทางเดินอาหาร หากดูดซึมเข้าไปบ้างก็จะถูกใช้ไปในการต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกระแสโลหิต)


          เนื่องจากว่าพาราเซตามอล เและอเซทิลซีสเทอิน
N-acetyl cysteine มีจำหน่ายทั่วไป เราอาจจะคิดว่าการออกสูตรยาพาราเซตามอลซึ่งปลอดภัยไม่น่ายก แต่ที่จริงแล้วมันเป็นปัญหาใหญ่เพราะ FDA สหรัฐอเมริกาไม่อนุญาตให้ใส่ตัวยาทั้งสองเข้าด้วยกันจนกว่าการจดทะเบียนเป็นยาตำรับใหม่จะได้รับการอนุมัติ คือต้องผ่านการศึกษาวิจัยทางคลินิก และต้องผ่านการอนุมัติจาก FDA จึงจะสามารถผลิตออกมาจำหน่ายได้ ขวบนการทั้งหลายเหล่านี้ต้องใช้เงินนับร้อยล้านเหรียญ และใช้เวลานับทศวรรษถึงจะสำเร็จลงได้ ด้วยเหตุนี้ยาสูตรใหม่ พาราเซตามอลที่ปลอดภัยจึงไม่เคยออกสู่ท้องตลาดเลย

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

สัตว์ตายปริศนา สัญญาณโลกาวินาศ?


            กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วโลก สำหรับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เมื่อหลายพื้นที่บนโลกได้เผชิญกับภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิด ขึ้นมาก่อน เผชิญกับความแปรปรวนของสภาพอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกมากมาย จึงไม่แปลกที่จะเกิดคำถามที่ว่า สิ่งเหล่านี้คล้ายกับจะเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าโลกกำลังมาถึงจุดเปลี่ยน อย่างเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ หรือไม่

                          
                                                     นกตายเกลื่อนถนนในหลุยเซียนา

          ล่าสุด เหตุการณ์แปลกประหลาดซึ่งได้กลายเป็นปริศนาของคนทั่วโลกไปอีกหนึ่งประเด็นในขณะนี้ ก็คือ เหตุการณ์สัตว์ในหลายพื้นที่ตายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เริ่ม จากที่มลรัฐอาร์คันซอส์ สหรัฐฯ มีนกแบล็กเบิร์ดกว่า 5,000 ตัวตกลงมาตายเกลื่อนถนน ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ขณะที่ปลาดรัมฟิชกว่า 100,000 ตัว ก็ตายเกลื่อนบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ในช่วงเวลาเดียวกัน สร้างความฉงนสงสัยให้กับชาวเมืองเป็นอย่างมาก เพราะมีเพียงนกแบล็กเบิร์ดกับปลาดรัมฟิชเท่านั้นที่ตาย ส่วนปลาและนกชนิดอื่นไม่ได้มีรายงานแต่อย่างใด ขณะที่ในเคนตั๊กกี้ ก็มีนกตายให้เห็นประปราย โดยได้รับการเปิดเผยจากหญิงสาวคนหนึ่งว่า มีนกตกลงมาตายบริเวณบ้านของเธอ 10 กว่าตัวเลยทีเดียว และที่หลุยเซียน่า นกแบล็กเบิร์ดปีกแดง นกสตาร์ลิ่ง และนกกระจอก รวมแล้วกว่า 5,000 ตัว ก็ตกลงมาตายเกลื่อนในช่วงปีใหม่ และนอกจากนี้รัฐอื่น ๆ ในสหรัฐฯ ก็มีนกและปลาตายเช่นกัน ได้แก่ อิลลินอยส์ เทนเนสซี มิสซิสสิปปี้ แมร์รี่แลนด์ และมิสซูรี
สัตว์น้ำตายที่โบลิเวีย

        นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่มีสัตว์ตายเกลื่อนมาตั้งแต่ช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ เช่น ใน เวียดนาม ได้มีปลาหลายพันตัวลอยแพขึ้นเหนือน้ำ สร้างความประหลาดใจให้กับชาวบ้าน และพวกเขาไม่สามารถจับปลาสดไปขายได้อีก และก่อนหน้านั้น เมื่อประมาณเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ก็มีจระเข้ เต่า ปลาโลมา และสัตว์น้ำอีกหลายชนิดลอยตายเกลื่อนในทะเลสาบและแม่น้ำในประเทศโบลิเวีย
 
         อย่างไรก็ตาม การตายของสัตว์ต่าง ๆ ยังอยู่ระหว่างการชันสูตรเพื่อค้นหาสาเหตุการตายที่แท้จริง ซึ่งก็ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่ในช่วงนี้ก็มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุการตายของสัตว์เหล่านี้มากมาย บ้างก็ว่าเป็นเพราะนกตกใจเสียงพลุและแสงสีช่วงปีใหม่ บ้างก็ว่าเกิดจากมลพิษในอากาศและน้ำ

 




       ทั้งนี้ แม้จะไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่า การตายปริศนาของสัตว์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นจากการที่สนามแม่เหล็กโลกกลับขั้ว แต่หากพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็จะพบว่ามีภัยพิบัติครั้งใหญ่เกิดขึ้น สร้างความเสียหายให้กับมนุษย์อย่างมากมาย อีกทั้งโลกก็ยังมีอุณหภูมิสูงขึ้นทุกวันและเกิดพายุสุริยะในบางพื้นที่ ดังนั้น ก็อาจเป็นไปได้ว่าการตายของสัตว์ที่เกิดขึ้นนี้ อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่แสดงให้เห็นว่า โลกใบนี้กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และกำลัง "เริ่มต้น" นับถอยหลังสู่จุดหายนะที่เรียกว่ายุคโลกาวินาศอีกครั้งตามวัฏจักรของโลก หลังจากที่มันเคยเกิดขึ้นและทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สาบสูญไปมาแล้วเมื่อ หลายล้านปีก่อน