วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

'วัสดุอัจฉริยะ'คืนรูปได้ แตกหัก-เสียหายซ่อมตัวเอง



บอกลาสิ่งต่างๆที่ทำแตกหักไปได้เลย เพราะนวัตกรรมใหม่ของการใช้เส้นใยไฟเบอร์ออปติก แสงเลเซอร์อินฟราเรดและโพลีเมอร์ที่คืนรูปตัวเองได้เมื่อได้รับความร้อน ทำให้เกิดเป็นวัสดุอัจฉริยะที่สามารถซ่อมแซมตัวเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ แม้ในขณะที่กำลังใช้งานอยู่
นักวิจัยจากรัฐอริโซน่า นำเส้นใยไฟเบอร์ออปติกมาผสมผสานการทำงานร่วมกับโพลีเมอร์ทำให้เกิดเป็นวัสดุชนิดใหม่ ที่สามารถคืนรูปร่างได้แม้จะแตกหักเสียหายที่จุดไหน มากหรือน้อยแค่ไหน
สำหรับโพลีเมอร์ชนิดพิเศษนี้เรียกว่า shape memory polmer หรือ โพลีเมอร์จดจำรูปได้ คิดค้นโดยนักวิจัยของสถาบัน GKSS เยอรมนี เมื่อมันมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิเปลี่ยนรูป หรือประมาณ 60 องศาเซลเซียส รวมถึงอุณหภูมิห้องปกติ มันจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปตามที่ต้องการ เช่น เป็นเส้นตรงคล้ายเส้นด้าย แต่เมื่ออุณหหภูมิกลับไปเกินกว่า 60 องศาเซลเซียส มันจะกลับไปสู่รางเดิม เช่น กลายเป็นรูปขดม้วนหรือเกลียว

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ชวนดูฝนดาวตก “เจมินิดส์”

 นักดาราศาสตร์แนะวิธีชม “ฝนดาวตกเจมินิดส์” ในคืนวันที่13 - 14 ธันวาคมนี้ อย่างถูกต้อง สนุก ครบสาระ พร้อมทั้งเชิญชวนโรงเรียน ประชาชน จัดกิจกรรมร่วมกันนับฝนดาวตกเจมินิดส์ เรียนรู้ปรากฏการณ์และกลุ่มดาวบนท้องฟ้า

    

 นาวาอากาศเอกฐากูร เกิดแก้ว หัวหน้าโครงการศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ (LESA) กล่าวว่า ฝนดาวตกเจมินิดส์นับเป็นฝนดาวตกที่น่าจับตาที่สุดสำหรับประเทศไทย เพราะเป็นฝนดาวตกที่มีดาวตกจำนวนมาก และเกิดขึ้นในฤดูหนาว ซึ่งอากาศดีและท้องฟ้าใส โดยเริ่มสังเกตเห็นได้มากตั้งแต่เวลาหลังเที่ยงคืนของคืนวันที่ 13 จนถึงเช้ามืดของวันที่ 14 ธันวาคม 2553 ตามเวลาประเทศไทย เนื่องจากปีนี้พระจันทร์ตกเวลาประมาณ 24.00 น. จึงทำให้มีแสงจันทร์บดบังในช่วงหัวค่ำ ส่วนจำนวนอัตราฝนดาวตกสูงสุดนั้นเฉลี่ย 80 – 120 ดวงต่อชั่วโมง


“ฝนดาวตก” คือดาวตกหลายดวงที่ตกมาจากบริเวณเดียวกันในท้องฟ้า ในช่วงเวลาเดียวกันของปี โดยเกิดจากการที่ดาวหางโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และทิ้งเศษฝุ่นและวัตถุขนาดเล็กจำนวนมากไว้ตามแนวเส้นทางโคจร ซึ่งในแต่ละปี โลกจะโคจรผ่านธารอุกกาบาตดังกล่าวในช่วงเวลาหนึ่ง (เป็นช่วงวันเดียวกันในแต่ละปี) เมื่อเศษฝุ่นเหล่านี้ผ่านเข้ามาสู่ชั้นบรรยากาศชั้นบนของโลก ก็จะเสียดสีกับชั้นบรรยากาศทำให้เกิดความร้อน และเผาไหม้เศษวัตถุนั้นภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ปรากฏให้เห็นเป็นเส้นสว่างสวยงามเป็นจำนวนมาก เราจึงเรียกว่า ฝนดาวตก

                ทั้งนี้ธารอุกกาบาตอันเป็นต้นกำเนิดของฝนดาวตกทั่วไป มักจะมาจากธารอุกกาบาตของดาวหาง เช่น ฝนดาวตกลีโอนิดส์  ฝนดาวตกเพอร์ซีดส์ เป็นต้น แต่ฝนดาวตกเจมินิดส์จะต่างออกไป คือเกิดจากธารอุกกาบาตของดาวเคราะห์น้อย "3200 ฟีธอน" (3200 Phaethon)  ซึ่งธารอุกกาบาตของดาวเคราะห์น้อยมักจะมีขนาดใหญ่กว่าธารอุกกาบาตของดาวหาง โลกต้องใช้เวลานานในการเคลื่อนที่ผ่านธารอุกกาบาต  จึงทำให้คาบเวลาการเกิดฝนดาวตกยาวนานกว่า เราจึงสามารถมองเห็นฝนดาวตกได้สองถึงสามวันก่อนและหลังวันที่มีจำนวนดาวตกสูงสุด หรือก็คือตั้งแต่วันที่ 7 – 17 ธันวาคม แต่จะมีมากสุดในคืนวันที่ 13 - 14 ธันวาคม โดยศูนย์กลางการกระจายหรือทิศทางอันเป็นจุดกำเนิดของฝนดาวตก (Radiant) จะอยู่ระหว่างดาวคาสเตอร์ (Castor) และพอลลักซ์ (Pollux) ซึ่งอยู่ในกลุ่มดาวคนคู่ หรือกลุ่มดาวเจมิไน และนี่ก็คือที่มาของชื่อฝนดาวตกเจมินิดส์นั่นเอง” 
ติดตามการเคลื่อนที่ของกลุ่มดาวคนคู่
                “กลุ่มดาวคนคู่ จะมีดาวสว่าง 2 ดวงอยู่ใกล้กันคือ คาสเตอร์ และพอลลักซ์ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม กลุ่มดาวคนคู่จะขึ้นเวลาประมาณสองทุ่ม แต่เราจะยังไม่สามารถมองเห็นดาวตกได้ชัดเจน จนกว่าดวงจันทร์จะตกในเวลาประมาณเที่ยงคืน ดังนั้นในช่วงเวลาหัวค่ำจึงควรนอนเก็บแรงไว้ก่อน แล้วตื่นขึ้นมาดูฝนดาวตกตอนหลังเที่ยงคืนไปจนถึงรุ่งเช้า   เวลาตีสองกลุ่มดาวคนคู่จะอยู่ใกล้จุดเหนือศีรษะ ช่วงเวลานี้คาดว่าจะมองเห็นดาวตกได้มากกว่า 100 ดวงต่อชั่วโมง โดยตกกระจายไปยังขอบฟ้าทุกทิศทาง  


                สำหรับขั้นตอนการดูฝนดาวตกเบื้องต้น น.อ.ฐากูร กล่าวว่า เนื่องจากฝนดาวตกเจมินิดส์ไม่สว่างเหมือนกับฝนดาวตกลีโอนิดส์ การสังเกตการณ์จึงจำเป็นต้องเลือกสถานที่ไร้แสงไฟรบกวน และห่างไกลจากเมืองใหญ่ โดยเริ่มต้นการดูดาวตกจะต้องงดการใช้ไฟฉาย เพื่อให้ดวงตามีการปรับสภาพ สร้างเซลล์ไวแสงสำหรับการมองภาพกลางคืน แต่หากจำเป็นต้องใช้ไฟฉาย แนะนำให้ไฟฉายขนาดเล็กหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีแดงแทน จากนั้นให้เริ่มทำการหาทิศทั้งสี่ เมื่อหันหน้าไปทางทิศเหนือ ซ้ายมือจะเป็นทิศตะวันตก และขวามือเป็นทิศตะวันออก ต่อมาก็คอย



                การเฝ้าดู แนะนำให้จับกลุ่มกันและนอนเอาหัวชนกันกลุ่มละ 4 คน หันเท้าไปทางทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก  เพื่อให้มองเห็นครอบคลุมทั่วบริเวณท้องฟ้า หากสังเกตจะพบว่า ดาวตกแต่ละดวง ตกลงมาจากทิศทางเดียวกัน  ทั้งนี้หากลองลากเส้นย้อนกลับทิศทางที่ดาวตกหล่นลงมา จะพบว่า ทุกเส้นจะตัดกันที่กลุ่มดาวคนคู่ เราเรียกจุดที่ดาวตกจากลงมาว่า “เรเดียนท์”  อย่างไรก็ตาม เราจะไม่เห็นดาวตกในบริเวณกลุ่มดาวคนคู่มากนัก เพราะการมองเห็นเป็นดาวตกก็ต่อเมื่อ เศษวัตถุมีการเสียดสีกับบรรยากาศโลกจนลุกไหม้ เกิดแสงสว่าง ดังนั้นทางที่ดีจึงควรมองไปทั่วๆ ท้องฟ้า   เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ฝนดาวตกจะปรากฏให้เห็นนาทีที่เท่าไหร่ บริเวณใด “

        น.อ.ฐากูร กล่าวว่า ฝนดาวตกเจมินิดส์ เป็นฝนดาวตกที่น่าสนใจ และเป็นกลุ่มฝนดาวตกที่มีโอกาสเห็นได้ค่อนข้างมาก เพราะตลอดระยะเวลาการเก็บข้อมูลทำวิจัยฝนดาวตกเจมินิดส์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 จนถึงปัจจุบัน พบว่า สามารถนับฝนดาวตกเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 100 ดวงต่อชั่วโมง และยังพบไฟร์บอลมากกว่า 10 ดวงต่อคืน

                อย่างไรก็ดีฝนดาวตกเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามและหาดูได้ยาก หากโรงเรียนหรือผู้ปกครองสามารถจัดกิจกรรมให้เด็กๆ ร่วมกันนับฝนดาวตกเพื่อบันทึกไว้เป็นสถิติของแต่ละปี ก็จะทำให้การชมฝนดาวตกเจมินิดส์สนุกและมีความหมายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในโอกาสเช่นนี้ยังสอนให้เด็กๆ รู้จักใช้แผนที่ดาว และทำความรู้จักกับกลุ่มดาวสว่างอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น กลุ่มดาวนายพราน กลุ่มดาววัว กลุ่มดาวหมีใหญ่ เป็นต้น ประกอบกับหากมีเรื่องเล่าและการใช้ประโยชน์ของกลุ่มดาวต่างๆ  ร่วมด้วยแล้ว ก็จะช่วยให้เด็กมีจินตนาการ เกิดความประทับใจ ทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาออกไปค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม และสนใจดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มารู้จักอาหาร 10 ชนิดพิชิตโรคกันเถอะ

                                             

          อาหาร คือ ยาวิเศษ สุด การรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์จะช่วยเสริมสร้างระบบ ภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ ขจัดสิว ช่วยให้จิตใจเบิกบาน จะแนะนำอาหาร 10 ชนิดที่รับประทานเป็นประจำทุกวันท่านจะห่างไกลโรคหัวใจ โรคมะเร็ง อย่างแน่นอน


  1. ซอสมะเขือเทศ อาหารของชาวอิตาเลียนจะมีซอสมะเขือเทศเปนเครื่องปรุงหลักและพบว่าชาวอิตาเลียนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาติอื่นหลายเท่า เพราะในซอสมะเขือเทศ อุดมไปด้วยสารไลโคปิน ซึ่งมีอยู่ในมะเขือเทศและเมื่อผ่านกระบวนการทำเป็นซอสจะเพิ่มปริมาณขึ้นอีก 5 เท่า และสารไลโคปินนี้มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจและชะลอการเสื่อมของเซลล์ ดังนั้นถ้าคุณรับประทานซอสมะเขือเทศ 2 ถ้วยต่อสัปดาห์ โรคหัวใจก็จะห่างไกลคุณแถมด้วยผิวพรรณสดใสอ่อนเยาว์อีกด้วย
  2. กระเทียมสด ในกระเทียมสดประกอบด้วยสารทรงคุณค่า 2 ชนิดคือ อัลลิซินและไดอะลิศ ซึ่งทำหน้าที่ลดคลอเลสเตอรอลซึ่งเป็นสาเหุตของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันเลือดจับตัวเปนก้อน ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดี รับประทานกระเทียมวันละ 2 กลีบเป็นประจำ
  3. มันเทศ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้อีกด้วย ดังนั้นควรเพิ่มเมนูมันเทศเข้าเป็นอาหารประจำบ้านคุณเพื่อสุขภาพที่ดี
  4. หอมหัวใหญ่ มีสารเคอร์เซทีน จึงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย ป้องกันโรคภูมิแพ้ แก้อาการหอบหืดและอาการแพ้ต่างๆได้ดี ฉะนั้นอย่างลืมใช้หอมหัวใหญ่ปรุงเมนูเด็ดของคุณ
  5. จมูกข้าวสาลี มีธาตุสังกะสีมาก จึงช่วยขจัดสิวอันเป็นปัญหาของผิวพรรณได้ดี ถ้าเติมจมูกข้าวสาลีในโยเกิร์ตหรือธัญพืชกรอบ มื้อเช้าของคุณเป็นประจำ ผิวหน้าของคุณจะผ่องใสไร้สิวแน่นอน
  6. ถั่วดำ มีสารต้านโรคโลหิตจาง และมีวิตามินบีและโปรตีนอีกหลายชนิด
  7. บรอกโคลี ในดอกตูมของบรอกโคลีมีสารป้องกันมะเร็งมากกว่าต้นแก่ 30 -50 เท่า
  8. สตรอเบอรี่ เป็นลผไม้ที่ดีที่สุดในการกำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิด มะเร็ง ร้าย และห้พลังงานต่ำ มีวิตามินซีสูง
  9. โยเกิร์ต เชื่อหรือไม่ว่าการที่ผู้หญิงรับประทานโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วย ช่วยลดการติดเชื้อในช่องคลอดได้ถึง 50% เพราะจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสในโยเกิร์ตจะกระตุ้นร่างกายสร้างสารต้านการติดเชื้อ ทั้งช่วยลดอาการอ่อนเพลียและทำให้สดชื่นแจ่มใส ต่อไปเห็นที่จะต้องรับประทาน โยเกิร์ต ทุกวันซะแล้ว
  10. ถั่วเหลือง ช่วยต้านการเกิดมะเร็งเต้านม ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งมดลูก สาวๆที่อยากห่างไกลโรคนี้อย่าลืมรับประทาน นำเต้าหู้แกงจืดเต้าหู้ หรืออาหารอื่นๆที่มีเต้าหู้เป็นส่วนประกอบเป็นประจำ
อาหาร 10 ชนิดนี้ล้วนแต่หารับประทานได้ง่ายไม่เกินความเป็นจริง You Are What You Eat ถ้ารักสุขภาพเริ่มกันวันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีร่างกายแข็งแรงห่างไกลโรคภัย

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปอยส่างรอง

                                                                                             
      เมื่อลมร้อนมาถึง ฤดูกาลปิดเทอมก็เริ่มขึ้น และยังเป็นจุดเริ่มต้นของเด็กผู้ชายอีกหลายคน ที่บวชเป็นสามเณรภาคฤดูร้อน แต่เด็กๆ ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ไม่ได้มีงานบวชแบบธรรมดาๆ เพราะที่นี่มีพิธีบวชที่เรียกว่า ปอยส่างลอง ที่เฉลิมฉลองงานบุญกันข้ามวันข้ามคืน
ปอยส่างลองคืออะไร?  มีความหมายและความสำคัญมากแค่ไหน? ทำไมจึงเป็นประเพณีที่คนไต หรือชาวไตใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ยังยึดมั่นและสืบทอดกันมานับร้อยปี จากรุ่นสู่รุ่น…กบนอกกะลาเดินทางผ่านโค้งถึง 1,864 โค้ง เพื่อมาร่วมงานบุญที่เรียกว่า ปอยส่างลอง หรือที่คนเมือง หรือคนในภาคเหนือ เรียกว่าบวชลูกแก้ว…ตามติดตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมงาน ทั้งการเตรียมตัวของเด็ก ที่จะเข้าเป็นส่างลอง และชาวบ้านในหมู่บ้าน ที่มาร่วมแรงร่วมใจ เตรียมข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงอาหารที่ใช้รับแขกในงานที่จะมีขึ้น 5 วัน


zzzzzzzzzz1.jpg
วันแรกของพิธีปอยส่างลอง เริ่มต้นด้วยการโกนผม  ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่เด็กซนๆ คนนึงจะเข้าสู่การเป็นส่างลอง จนกระทั่งเข้าสู่วันที่ 2 ที่บรรดาเด็กๆ ต้องแต่งตัวเป็นส่างลองกันตั้งแต่ตี 4 โดยมีคติธรรมความหมาย ซ่อนอยู่ในการแต่งองค์ทรงเครื่องว่า ทำไมส่างลองต้องแต่งกาย และมีเครื่องประดับมากมายขนาดนี้ จากนั้นมีการแห่ส่างลอง ไปขอขมาญาติผู้ใหญ่ในหมู่บ้านทั่ว ตั้งแต่วันที่ 2 จนถึงวันที่ 3 จนขอขมาทั่วทุกหลังคาเรือน และเมื่อถึงวันที่ 4 เป็นวันแห่ครัวหลู่ ถือกันว่าเป็นวันที่สำคัญที่สุด ซึ่งทุกคนทั้งเด็ก วัยรุ่น คนเฒ่าคนแก่ ก็จะมาร่วมขบวนแห่กันถ้วนหน้า มีงานเฉลิมฉลองกันข้ามคืน ชาวบ้านในหมู่บ้าน จะเดินสายช่วยงานไปทุกบ้านที่มีส่างลอง เรียกได้ว่าทุกคนทุ่มเทเวลา ให้กับงานบุญในครั้งนี้

จนสุดท้ายเข้าสู่วันที่ 5 เป็นเวลาที่ส่างลอง จะได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งพระพุทธศาสนา เปลี่ยนชุดที่เคยแต่งองค์ทรงเครื่อง มาเป็นจีวรเหลืองที่มีมนต์ขลัง แต่นี่นับเป็นเพียงก้าวแรกของสามเณรน้อย ที่นับจากนี้ต้องบวชเรียน เพื่อทดแทนคุณพ่อแม่ รวมทั้งเรียนรู้การทำกรรมดี เพื่อเป็นเด็กดีกลับคืนสู่อ้อมอกพ่อแม่ต่อไป ติดตามเรื่องราวอิ่มบุญ ที่มีทั้งความสนุกสนาน ครื้นเครงของงานปอยส่างลอง และสะท้อนแรงศรัทธาของวิถีชาวไทใหญ่ ที่ยังคงยึดมั่นในการทำบุญได้