วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

'วัสดุอัจฉริยะ'คืนรูปได้ แตกหัก-เสียหายซ่อมตัวเอง



บอกลาสิ่งต่างๆที่ทำแตกหักไปได้เลย เพราะนวัตกรรมใหม่ของการใช้เส้นใยไฟเบอร์ออปติก แสงเลเซอร์อินฟราเรดและโพลีเมอร์ที่คืนรูปตัวเองได้เมื่อได้รับความร้อน ทำให้เกิดเป็นวัสดุอัจฉริยะที่สามารถซ่อมแซมตัวเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ แม้ในขณะที่กำลังใช้งานอยู่
นักวิจัยจากรัฐอริโซน่า นำเส้นใยไฟเบอร์ออปติกมาผสมผสานการทำงานร่วมกับโพลีเมอร์ทำให้เกิดเป็นวัสดุชนิดใหม่ ที่สามารถคืนรูปร่างได้แม้จะแตกหักเสียหายที่จุดไหน มากหรือน้อยแค่ไหน
สำหรับโพลีเมอร์ชนิดพิเศษนี้เรียกว่า shape memory polmer หรือ โพลีเมอร์จดจำรูปได้ คิดค้นโดยนักวิจัยของสถาบัน GKSS เยอรมนี เมื่อมันมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิเปลี่ยนรูป หรือประมาณ 60 องศาเซลเซียส รวมถึงอุณหภูมิห้องปกติ มันจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปตามที่ต้องการ เช่น เป็นเส้นตรงคล้ายเส้นด้าย แต่เมื่ออุณหหภูมิกลับไปเกินกว่า 60 องศาเซลเซียส มันจะกลับไปสู่รางเดิม เช่น กลายเป็นรูปขดม้วนหรือเกลียว

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ชวนดูฝนดาวตก “เจมินิดส์”

 นักดาราศาสตร์แนะวิธีชม “ฝนดาวตกเจมินิดส์” ในคืนวันที่13 - 14 ธันวาคมนี้ อย่างถูกต้อง สนุก ครบสาระ พร้อมทั้งเชิญชวนโรงเรียน ประชาชน จัดกิจกรรมร่วมกันนับฝนดาวตกเจมินิดส์ เรียนรู้ปรากฏการณ์และกลุ่มดาวบนท้องฟ้า

    

 นาวาอากาศเอกฐากูร เกิดแก้ว หัวหน้าโครงการศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ (LESA) กล่าวว่า ฝนดาวตกเจมินิดส์นับเป็นฝนดาวตกที่น่าจับตาที่สุดสำหรับประเทศไทย เพราะเป็นฝนดาวตกที่มีดาวตกจำนวนมาก และเกิดขึ้นในฤดูหนาว ซึ่งอากาศดีและท้องฟ้าใส โดยเริ่มสังเกตเห็นได้มากตั้งแต่เวลาหลังเที่ยงคืนของคืนวันที่ 13 จนถึงเช้ามืดของวันที่ 14 ธันวาคม 2553 ตามเวลาประเทศไทย เนื่องจากปีนี้พระจันทร์ตกเวลาประมาณ 24.00 น. จึงทำให้มีแสงจันทร์บดบังในช่วงหัวค่ำ ส่วนจำนวนอัตราฝนดาวตกสูงสุดนั้นเฉลี่ย 80 – 120 ดวงต่อชั่วโมง


“ฝนดาวตก” คือดาวตกหลายดวงที่ตกมาจากบริเวณเดียวกันในท้องฟ้า ในช่วงเวลาเดียวกันของปี โดยเกิดจากการที่ดาวหางโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และทิ้งเศษฝุ่นและวัตถุขนาดเล็กจำนวนมากไว้ตามแนวเส้นทางโคจร ซึ่งในแต่ละปี โลกจะโคจรผ่านธารอุกกาบาตดังกล่าวในช่วงเวลาหนึ่ง (เป็นช่วงวันเดียวกันในแต่ละปี) เมื่อเศษฝุ่นเหล่านี้ผ่านเข้ามาสู่ชั้นบรรยากาศชั้นบนของโลก ก็จะเสียดสีกับชั้นบรรยากาศทำให้เกิดความร้อน และเผาไหม้เศษวัตถุนั้นภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ปรากฏให้เห็นเป็นเส้นสว่างสวยงามเป็นจำนวนมาก เราจึงเรียกว่า ฝนดาวตก

                ทั้งนี้ธารอุกกาบาตอันเป็นต้นกำเนิดของฝนดาวตกทั่วไป มักจะมาจากธารอุกกาบาตของดาวหาง เช่น ฝนดาวตกลีโอนิดส์  ฝนดาวตกเพอร์ซีดส์ เป็นต้น แต่ฝนดาวตกเจมินิดส์จะต่างออกไป คือเกิดจากธารอุกกาบาตของดาวเคราะห์น้อย "3200 ฟีธอน" (3200 Phaethon)  ซึ่งธารอุกกาบาตของดาวเคราะห์น้อยมักจะมีขนาดใหญ่กว่าธารอุกกาบาตของดาวหาง โลกต้องใช้เวลานานในการเคลื่อนที่ผ่านธารอุกกาบาต  จึงทำให้คาบเวลาการเกิดฝนดาวตกยาวนานกว่า เราจึงสามารถมองเห็นฝนดาวตกได้สองถึงสามวันก่อนและหลังวันที่มีจำนวนดาวตกสูงสุด หรือก็คือตั้งแต่วันที่ 7 – 17 ธันวาคม แต่จะมีมากสุดในคืนวันที่ 13 - 14 ธันวาคม โดยศูนย์กลางการกระจายหรือทิศทางอันเป็นจุดกำเนิดของฝนดาวตก (Radiant) จะอยู่ระหว่างดาวคาสเตอร์ (Castor) และพอลลักซ์ (Pollux) ซึ่งอยู่ในกลุ่มดาวคนคู่ หรือกลุ่มดาวเจมิไน และนี่ก็คือที่มาของชื่อฝนดาวตกเจมินิดส์นั่นเอง” 
ติดตามการเคลื่อนที่ของกลุ่มดาวคนคู่
                “กลุ่มดาวคนคู่ จะมีดาวสว่าง 2 ดวงอยู่ใกล้กันคือ คาสเตอร์ และพอลลักซ์ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม กลุ่มดาวคนคู่จะขึ้นเวลาประมาณสองทุ่ม แต่เราจะยังไม่สามารถมองเห็นดาวตกได้ชัดเจน จนกว่าดวงจันทร์จะตกในเวลาประมาณเที่ยงคืน ดังนั้นในช่วงเวลาหัวค่ำจึงควรนอนเก็บแรงไว้ก่อน แล้วตื่นขึ้นมาดูฝนดาวตกตอนหลังเที่ยงคืนไปจนถึงรุ่งเช้า   เวลาตีสองกลุ่มดาวคนคู่จะอยู่ใกล้จุดเหนือศีรษะ ช่วงเวลานี้คาดว่าจะมองเห็นดาวตกได้มากกว่า 100 ดวงต่อชั่วโมง โดยตกกระจายไปยังขอบฟ้าทุกทิศทาง  


                สำหรับขั้นตอนการดูฝนดาวตกเบื้องต้น น.อ.ฐากูร กล่าวว่า เนื่องจากฝนดาวตกเจมินิดส์ไม่สว่างเหมือนกับฝนดาวตกลีโอนิดส์ การสังเกตการณ์จึงจำเป็นต้องเลือกสถานที่ไร้แสงไฟรบกวน และห่างไกลจากเมืองใหญ่ โดยเริ่มต้นการดูดาวตกจะต้องงดการใช้ไฟฉาย เพื่อให้ดวงตามีการปรับสภาพ สร้างเซลล์ไวแสงสำหรับการมองภาพกลางคืน แต่หากจำเป็นต้องใช้ไฟฉาย แนะนำให้ไฟฉายขนาดเล็กหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีแดงแทน จากนั้นให้เริ่มทำการหาทิศทั้งสี่ เมื่อหันหน้าไปทางทิศเหนือ ซ้ายมือจะเป็นทิศตะวันตก และขวามือเป็นทิศตะวันออก ต่อมาก็คอย



                การเฝ้าดู แนะนำให้จับกลุ่มกันและนอนเอาหัวชนกันกลุ่มละ 4 คน หันเท้าไปทางทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก  เพื่อให้มองเห็นครอบคลุมทั่วบริเวณท้องฟ้า หากสังเกตจะพบว่า ดาวตกแต่ละดวง ตกลงมาจากทิศทางเดียวกัน  ทั้งนี้หากลองลากเส้นย้อนกลับทิศทางที่ดาวตกหล่นลงมา จะพบว่า ทุกเส้นจะตัดกันที่กลุ่มดาวคนคู่ เราเรียกจุดที่ดาวตกจากลงมาว่า “เรเดียนท์”  อย่างไรก็ตาม เราจะไม่เห็นดาวตกในบริเวณกลุ่มดาวคนคู่มากนัก เพราะการมองเห็นเป็นดาวตกก็ต่อเมื่อ เศษวัตถุมีการเสียดสีกับบรรยากาศโลกจนลุกไหม้ เกิดแสงสว่าง ดังนั้นทางที่ดีจึงควรมองไปทั่วๆ ท้องฟ้า   เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ฝนดาวตกจะปรากฏให้เห็นนาทีที่เท่าไหร่ บริเวณใด “

        น.อ.ฐากูร กล่าวว่า ฝนดาวตกเจมินิดส์ เป็นฝนดาวตกที่น่าสนใจ และเป็นกลุ่มฝนดาวตกที่มีโอกาสเห็นได้ค่อนข้างมาก เพราะตลอดระยะเวลาการเก็บข้อมูลทำวิจัยฝนดาวตกเจมินิดส์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 จนถึงปัจจุบัน พบว่า สามารถนับฝนดาวตกเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 100 ดวงต่อชั่วโมง และยังพบไฟร์บอลมากกว่า 10 ดวงต่อคืน

                อย่างไรก็ดีฝนดาวตกเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามและหาดูได้ยาก หากโรงเรียนหรือผู้ปกครองสามารถจัดกิจกรรมให้เด็กๆ ร่วมกันนับฝนดาวตกเพื่อบันทึกไว้เป็นสถิติของแต่ละปี ก็จะทำให้การชมฝนดาวตกเจมินิดส์สนุกและมีความหมายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในโอกาสเช่นนี้ยังสอนให้เด็กๆ รู้จักใช้แผนที่ดาว และทำความรู้จักกับกลุ่มดาวสว่างอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น กลุ่มดาวนายพราน กลุ่มดาววัว กลุ่มดาวหมีใหญ่ เป็นต้น ประกอบกับหากมีเรื่องเล่าและการใช้ประโยชน์ของกลุ่มดาวต่างๆ  ร่วมด้วยแล้ว ก็จะช่วยให้เด็กมีจินตนาการ เกิดความประทับใจ ทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาออกไปค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม และสนใจดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มารู้จักอาหาร 10 ชนิดพิชิตโรคกันเถอะ

                                             

          อาหาร คือ ยาวิเศษ สุด การรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์จะช่วยเสริมสร้างระบบ ภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ ขจัดสิว ช่วยให้จิตใจเบิกบาน จะแนะนำอาหาร 10 ชนิดที่รับประทานเป็นประจำทุกวันท่านจะห่างไกลโรคหัวใจ โรคมะเร็ง อย่างแน่นอน


  1. ซอสมะเขือเทศ อาหารของชาวอิตาเลียนจะมีซอสมะเขือเทศเปนเครื่องปรุงหลักและพบว่าชาวอิตาเลียนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาติอื่นหลายเท่า เพราะในซอสมะเขือเทศ อุดมไปด้วยสารไลโคปิน ซึ่งมีอยู่ในมะเขือเทศและเมื่อผ่านกระบวนการทำเป็นซอสจะเพิ่มปริมาณขึ้นอีก 5 เท่า และสารไลโคปินนี้มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจและชะลอการเสื่อมของเซลล์ ดังนั้นถ้าคุณรับประทานซอสมะเขือเทศ 2 ถ้วยต่อสัปดาห์ โรคหัวใจก็จะห่างไกลคุณแถมด้วยผิวพรรณสดใสอ่อนเยาว์อีกด้วย
  2. กระเทียมสด ในกระเทียมสดประกอบด้วยสารทรงคุณค่า 2 ชนิดคือ อัลลิซินและไดอะลิศ ซึ่งทำหน้าที่ลดคลอเลสเตอรอลซึ่งเป็นสาเหุตของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันเลือดจับตัวเปนก้อน ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดี รับประทานกระเทียมวันละ 2 กลีบเป็นประจำ
  3. มันเทศ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้อีกด้วย ดังนั้นควรเพิ่มเมนูมันเทศเข้าเป็นอาหารประจำบ้านคุณเพื่อสุขภาพที่ดี
  4. หอมหัวใหญ่ มีสารเคอร์เซทีน จึงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย ป้องกันโรคภูมิแพ้ แก้อาการหอบหืดและอาการแพ้ต่างๆได้ดี ฉะนั้นอย่างลืมใช้หอมหัวใหญ่ปรุงเมนูเด็ดของคุณ
  5. จมูกข้าวสาลี มีธาตุสังกะสีมาก จึงช่วยขจัดสิวอันเป็นปัญหาของผิวพรรณได้ดี ถ้าเติมจมูกข้าวสาลีในโยเกิร์ตหรือธัญพืชกรอบ มื้อเช้าของคุณเป็นประจำ ผิวหน้าของคุณจะผ่องใสไร้สิวแน่นอน
  6. ถั่วดำ มีสารต้านโรคโลหิตจาง และมีวิตามินบีและโปรตีนอีกหลายชนิด
  7. บรอกโคลี ในดอกตูมของบรอกโคลีมีสารป้องกันมะเร็งมากกว่าต้นแก่ 30 -50 เท่า
  8. สตรอเบอรี่ เป็นลผไม้ที่ดีที่สุดในการกำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิด มะเร็ง ร้าย และห้พลังงานต่ำ มีวิตามินซีสูง
  9. โยเกิร์ต เชื่อหรือไม่ว่าการที่ผู้หญิงรับประทานโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วย ช่วยลดการติดเชื้อในช่องคลอดได้ถึง 50% เพราะจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสในโยเกิร์ตจะกระตุ้นร่างกายสร้างสารต้านการติดเชื้อ ทั้งช่วยลดอาการอ่อนเพลียและทำให้สดชื่นแจ่มใส ต่อไปเห็นที่จะต้องรับประทาน โยเกิร์ต ทุกวันซะแล้ว
  10. ถั่วเหลือง ช่วยต้านการเกิดมะเร็งเต้านม ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งมดลูก สาวๆที่อยากห่างไกลโรคนี้อย่าลืมรับประทาน นำเต้าหู้แกงจืดเต้าหู้ หรืออาหารอื่นๆที่มีเต้าหู้เป็นส่วนประกอบเป็นประจำ
อาหาร 10 ชนิดนี้ล้วนแต่หารับประทานได้ง่ายไม่เกินความเป็นจริง You Are What You Eat ถ้ารักสุขภาพเริ่มกันวันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีร่างกายแข็งแรงห่างไกลโรคภัย

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปอยส่างรอง

                                                                                             
      เมื่อลมร้อนมาถึง ฤดูกาลปิดเทอมก็เริ่มขึ้น และยังเป็นจุดเริ่มต้นของเด็กผู้ชายอีกหลายคน ที่บวชเป็นสามเณรภาคฤดูร้อน แต่เด็กๆ ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ไม่ได้มีงานบวชแบบธรรมดาๆ เพราะที่นี่มีพิธีบวชที่เรียกว่า ปอยส่างลอง ที่เฉลิมฉลองงานบุญกันข้ามวันข้ามคืน
ปอยส่างลองคืออะไร?  มีความหมายและความสำคัญมากแค่ไหน? ทำไมจึงเป็นประเพณีที่คนไต หรือชาวไตใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ยังยึดมั่นและสืบทอดกันมานับร้อยปี จากรุ่นสู่รุ่น…กบนอกกะลาเดินทางผ่านโค้งถึง 1,864 โค้ง เพื่อมาร่วมงานบุญที่เรียกว่า ปอยส่างลอง หรือที่คนเมือง หรือคนในภาคเหนือ เรียกว่าบวชลูกแก้ว…ตามติดตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมงาน ทั้งการเตรียมตัวของเด็ก ที่จะเข้าเป็นส่างลอง และชาวบ้านในหมู่บ้าน ที่มาร่วมแรงร่วมใจ เตรียมข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงอาหารที่ใช้รับแขกในงานที่จะมีขึ้น 5 วัน


zzzzzzzzzz1.jpg
วันแรกของพิธีปอยส่างลอง เริ่มต้นด้วยการโกนผม  ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่เด็กซนๆ คนนึงจะเข้าสู่การเป็นส่างลอง จนกระทั่งเข้าสู่วันที่ 2 ที่บรรดาเด็กๆ ต้องแต่งตัวเป็นส่างลองกันตั้งแต่ตี 4 โดยมีคติธรรมความหมาย ซ่อนอยู่ในการแต่งองค์ทรงเครื่องว่า ทำไมส่างลองต้องแต่งกาย และมีเครื่องประดับมากมายขนาดนี้ จากนั้นมีการแห่ส่างลอง ไปขอขมาญาติผู้ใหญ่ในหมู่บ้านทั่ว ตั้งแต่วันที่ 2 จนถึงวันที่ 3 จนขอขมาทั่วทุกหลังคาเรือน และเมื่อถึงวันที่ 4 เป็นวันแห่ครัวหลู่ ถือกันว่าเป็นวันที่สำคัญที่สุด ซึ่งทุกคนทั้งเด็ก วัยรุ่น คนเฒ่าคนแก่ ก็จะมาร่วมขบวนแห่กันถ้วนหน้า มีงานเฉลิมฉลองกันข้ามคืน ชาวบ้านในหมู่บ้าน จะเดินสายช่วยงานไปทุกบ้านที่มีส่างลอง เรียกได้ว่าทุกคนทุ่มเทเวลา ให้กับงานบุญในครั้งนี้

จนสุดท้ายเข้าสู่วันที่ 5 เป็นเวลาที่ส่างลอง จะได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งพระพุทธศาสนา เปลี่ยนชุดที่เคยแต่งองค์ทรงเครื่อง มาเป็นจีวรเหลืองที่มีมนต์ขลัง แต่นี่นับเป็นเพียงก้าวแรกของสามเณรน้อย ที่นับจากนี้ต้องบวชเรียน เพื่อทดแทนคุณพ่อแม่ รวมทั้งเรียนรู้การทำกรรมดี เพื่อเป็นเด็กดีกลับคืนสู่อ้อมอกพ่อแม่ต่อไป ติดตามเรื่องราวอิ่มบุญ ที่มีทั้งความสนุกสนาน ครื้นเครงของงานปอยส่างลอง และสะท้อนแรงศรัทธาของวิถีชาวไทใหญ่ ที่ยังคงยึดมั่นในการทำบุญได้
 
        

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้ของประโยชน์สาหร่าย

                                                                                                    

  • ไอโอดีน โดย ปกติแล้วคนเราต้องการไอโอดีนประมาณ 0.1-0.3 มิลลิกรัมต่อวัน หากเทียบกับการกินสาหร่ายทะเลชนิดแผ่นขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร แค่นี้ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน และช่วยป้องกันโรคคอพอกได้
  • ธาตุเหล็ก เป็นสารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในสาหร่ายทะเล ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล รวมทั้งบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นมันเงางามมากยิ่งขึ้น
  • ทองแดง หน้าที่ดูดซึมธาตุเหล็กและสร้างฮีโมโกลบินที่ไขกระดูก หากร่างกายขาดธาตุนี้จะทำให้เป็นโรคโลหิตจางและผมร่วงง่าย
  • สังกะสี เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลายชนิดในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • ใยอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้ท้องไม่ผูก และเร่งการขับถ่ายสารพิษต่างๆ ในทางเดินอาหาร

สาหร่ายทะเลกินมากไปก็อันตราย
สาหร่ายทะเลอบกรอบ เป็นของกินเล่นที่เด็กๆ ส่วนใหญ่ชอบกันมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจสำหรับพ่อแม่ทั้งหลาย เพราะว่าสาหร่ายทะเลเป็น อาหารชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย (ดีกว่าไปกินขนมที่ไม่มีประโยชน์) มีแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายหลายชนิด เช่น ไอโอดีน (ซึ่ง จำเป็นต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์) ทองแดง และเหล็ก(มีประโยชน์ต่อเลือด) แมกนีเซียม (ช่วยให้กล้ามเนื้อ และประสาท ทำงานอย่างมีประสิทธิ-ภาพ) แคลเซียม (ช่วยบำรุงกระดูก) โพแทสเซียม(ช่วยควบคุมเซลล์ทั้ง หลาย รวมถึงความสมดุลของน้ำในร่างกาย) สังกะสี (ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน) กากใยอาหาร (ทำให้ท้องไม่ผูก) รวมทั้งวิตามินบีและ เบต้าแคโรทีนด้วย
ตามปกติสาหร่ายอบแห้งธรรมดา ที่ยังไม่นำมาปรุงอาหารก็มี รสเค็มโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อนำมาปรุงรสโดยการอบซอส (เป็นของกินเล่น) ปริมาณของโซเดียมในสาหร่ายจึงมีมากขึ้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงและสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนควรจะทราบไว้ ก็คือ อย่าให้ลูกกินสาหร่ายปรุงรสมากเกินไป (เคยทราบมาว่าเด็กๆบางคนกินสาหร่ายครั้งหนึ่งเกือบ ๕๐ ซองเล็กๆ เพราะอร่อยจนยั้งไม่อยู่) เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับไอโอดีน มากเกินความต้องการ ซึ่งจะมีผลทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ  มีอาการกระวนกระวายใจสั่น และหิวตลอดเวล
                  นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังมี สารจำพวกนิวคลีอิก ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นกรดยูริกได้ แล้วถ้ากินมากๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้เป็นโรคเกาต์ได้ด้วย ขณะเดียวกันผู้ที่เป็นโรคไตหรือความดันเลือดสูง ก็จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ในการกินสาหร่ายที่มีเกลือโซเดียมสูง สำหรับสาหร่ายทะเลนั้น สารพิษที่มักปนเปื้อนคือ แคดเมียม ซึ่งเป็นโลหะหนัก มักใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า กระดาษ เมื่อโรงงานเหล่านี้ปล่อยน้ำทิ้งลงไปในแม่น้ำหรือทะเล สิ่งมีชีวิตหรือพืชผักแถวนั้นก็จะได้รับสารพิษไปด้วย

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สาหร่าย พลังงานใหม่จากโลกใต้น้ำ

          สาหร่าย พลังงานใหม่จากโลกใต้น้ำ
          นานนับศตวรรษที่น้ำมันดิบเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์และนับวัน      ยิ่งมีความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น ทว่าปัญหาวิกฤติราคาน้ำมันตลอดจนสถานะ การเป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป   รวมทั้งเป็นสาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม   ทำให้หลายประเทศทั่วโลกคิดค้นพลังงานใหม่ ๆ ขึ้นมาทดแทน และหนึ่งในนั้นคือ พลังงานจากพืช หรือพลังงานสะอาด
           ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติซึ่งมีภาระหน้าที่หลักโดยตรงในการแสวงหาพลังงานใหม่ เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งานในอนาคต จึงมุ่งมั่น คิดค้น และวิจัยเรื่องพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง  โดยเน้นไปที่ผลิตผลทางการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   โดยร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน   เพื่อศึกษาตั้งแต่สายพันธุ์ กระบวนการผลิต และเทคโนโลยีในการผลิตพัฒนาจนเกิดเป็นพลังงานทางเลือกใหม่ เช่น น้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซลปาล์ม (บริสุทธิ์) น้ำมันจากผลสบู่ดำ (กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย) เป็นต้น   และในปัจจุบันพลังงานความหวังใหม่ของคนไทย ทั้งประเทศที่นักวิทยาศาสตร์ต่างให้ความสนใจ คือ สาหร่าย สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่มีคุณค่าอเนกอนันต์

          จะให้น้ำมันร้อยละ 25 ในขณะที่สาหร่ายให้น้ำมันมากถึงร้อยละ 1,000 ปริมาณน้ำมันนี้อาจเพียงพอกระทั่งผลิตเพื่อส่งออกต่างประเทศได้            สาหร่ายจัดเป็นพืชชั้นต่ำที่มีคลอโรฟิลล์สูง   จึงใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมากเพื่อสังเคราะห์แสง   ทั้งยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน เกลือแร่ และวิตามินหลายชนิด  ที่สำคัญคือมีน้ำมันในปริมาณมากที่จะสกัดออกมาใช้ หากมีการปลูกและการควบคุมตัวแปร รวมถึงสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดีจะมีส่วนช่วยทำให้สาหร่ายมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วกว่าพืชชนิดอื่น ๆ ทำให้เห็นถึงความเป็นไปได้หากนำมาศึกษาเพื่อพัฒนาเป็นพืชพลังงาน ต่อไป

           จากการที่คณะนักวิจัยสถาบันวิจัยและเทคโนโลยี ปตท. ได้เดินทางไปดูงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศนำร่องการผลิตน้ำมันจากสาหร่ายเพื่อมาใช้กับรถยนต์ จึงได้นำองค์ความรู้มาใช้ในการพัฒนาไบโอดีเซลในประเทศไทย โดย ปตท. ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี และ BIOTEC ทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาการผลิตน้ำมันจากสาหร่าย ตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ การออกแบบระบบเพาะเลี้ยง และการสกัดน้ำมัน
         

             รศ.ดร.ประหยัด   โภคฐิติยุกต์ อาจารย์และนักวิจัย ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ได้รับทุนจาก ปตท. เพื่อวิจัยการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากสาหร่าย   ได้กล่าวถึงงานวิจัยในช่วงเบื้องต้นว่า สาหร่ายสีเขียว 3 ชนิด ที่นำมาทดสอบจะให้น้ำมันประมาณร้อยละ 20 -30    ขณะที่สาหร่ายทั่วไปจะให้น้ำมันเฉลี่ยราวร้อยละ 7-14   และสาหร่ายที่โตเร็วก็มักจะให้น้ำมันน้อยกว่าสาหร่ายที่โตช้า   คณะวิจัยได้เพาะเลี้ยงสาหร่ายในห้องทดลอง   เพื่อหาสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งให้น้ำมันมากแล้วจึงขยายลงสู่บ่อเพาะเลี้ยงต่อไป   นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าสภาพแวดล้อมในประเทศไทยเหมาะแก่การเพาะเลี้ยงสาหร่ายอย่างยิ่ง เพราะภายใน 24 ชั่วโมงสาหร่ายก็เติบโตได้อย่างสมบูรณ์   ขณะที่พืชพลังงานอื่น ๆ ต้องใช้เวลาเพาะปลูกนานกว่า 6-7 ปี  จึงจะสกัดน้ำมันได้ รศ.ดร.ประหยัดได้เปรียบเทียบว่าหากเลี้ยงสาหร่ายในบ่อพื้นที่ขนาดเท่ากับพื้นที่ปลูกสบู่ดำ 1 ต้น   เป็นเวลา 7 ปี สบู่ดำ


          ในส่วนของกรรมวิธีในการสกัดน้ำมันจากสาหร่ายนั้นคณะวิจัยได้นำองค์ความรู้ที่สืบเนื่องมาจากการวิจัยพืชพลังงานรุ่นก่อน   โดยวางแนวทางได้ 5 วิธี ได้แก่ การใช้แรงเหวี่ยงแยกเอาน้ำมันออก   การตกตะกอนแยกเอาตัวสาหร่ายออก การใช้สารละลายทางเคมีละลายเอาน้ำมันออก การใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นให้สาหร่ายคลายน้ำมัน และบีบอัดเพื่อให้คลายน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ยังเป็นแนวทางที่ยังต้องศึกษาต่อไปว่าวิธีใดเหมาะสมกับเครื่องยนต์และความต้องการในการใช้งานของคนไทยมากที่สุด   ในทางอ้อม ผลพลอยได้จากการสกัดน้ำมันจากสาหร่าย คือการนำกากสาหร่ายที่ตกตะกอนไปใช้เป็นวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น อาหารสัตว์ ปุ๋ย ยา เป็นต้น   นอกจากนี้สาหร่ายยังเอื้อประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ทั้งการสร้างงานของเกษตรกรสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ   บรรเทาผลกระทบจากวิกฤติราคาน้ำมันที่มีต่อทุกภาคส่วนของสังคม ก่อเกิดการขยายตัวของธุรกิจปิโตรเลียมและธุรกิจอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง

          ดร.ส่งเกียรติ   ทานสัมฤทธิ์   ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สถาบันวิจัยและเทคโนโลยี ปตท. ได้เคยให้ทัศนะต่อการนำสาหร่ายมาเป็นพืชพลังงานว่า ไม่เพียงยังเป็นประโยชน์ในการเป็นพลังงานทดแทน การเพาะเลี้ยงสาหร่ายเป็นจำนวนมากยังช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดรออกไซด์จากการเผาไหม้ต่างๆ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีในการช่วยบรรเทาปัญหาโลกร้อนได้   และคาดว่าในอีก 2-3 ปี ข้างหน้าแวดวงพลังงานของไทยอาจค้นพบพลังงานรูปแบบใหม่ ๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการใช้น้ำมันของคนไทยทั้งประเทศ
                อย่างไรก็ตาม ปตท. ยังมุ่งหวังให้พลังงานน้ำมันจากสาหร่ายเป็นพลังงานทางเลือกใหม่   เตรียมพร้อมไว้ใช้ในอนาคต   เพื่อให้ประเทศสามารถใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเกิดการคิดค้นพลังงานทดแทนเป็นทางออกให้กับวิกฤติทางด้านพลังงานในครั้งนี้   จิตสำนึกในการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าก็เช่นกัน   หากโลกต้องประสบภาวะขาดแคลนจนถึงจุดที่มนุษย์ทุกคนไม่มีน้ำมันดิฐใช้   พลังงานทางเลือกหรือพลังงานสะอาด สาหร่าย อาจเป็นหนึ่งทางรอดที่ช่วยเยียวยาเรื่องวิกฤติพลังงานน้ำมันของมนุษยชาติในอนาคต





วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ไก (สาหร่ายน้ำจืด)

ไก (สาหร่ายน้ำจืด)
                  ถ้าพูดถึงสาหร่ายที่ชาวบ้านในแถบภาคเหนือนำมาปรุงเป็นอาหารแล้วล่ะก็   แน่นอนว่าทุกครอบครัวที่เป็นคนเหนือแท้ ๆ จะรู้จักอาหารจานเด็ดที่เรียกกันว่า    "ยำเตา" อาหารจานนี้ทำมาจากสาหร่ายเตา  ซึ่งเป็นสาหร่ายสีเขียวสด  มีลักษณะเป็นเส้นสาย  มีเมือก-ลื่น ๆ  ล้างให้สะอาด  แล้วนำมาใส่เครื่องยำ    ซึ่งได้แก่  มะเขือแจ้หรือมะเขือพวงลูกเล็ก ๆ หั่นเป็นแว่น  ตะไคร้ซอย  หอมแดงซอย  พริกขี้หนูซอย  น้ำมะนาว  น้ำปลา  บางแห่งอาจใส่น้ำปู  ปลาต้มหรือปลาย่างลงไปด้วย  แล้วรับประทานกับข้าวเหนียวร้อน ๆ อร่อยอย่าบอกใคร!   แต่สำหรับคนน่านและคนเชียงของ  จังหวัดเชียงราย  เขามีสาหร่าย ไก   ซึ่งเป็นสาหร่ายสีเขียว  มีลักษณะเป็นเส้นสายคล้ายสาหร่ายเตา  มาเป็นอาหารอย่างหรูเริ่ดกว่า  เพราะในปัจจุบันเขาพยายามจะแปรรูปสาหร่าย  ไก  เป็นอาหารหลากชนิด  เพื่อหาตลาดที่สามารถจำหน่ายได้กว้างขวางขึ้น  เพื่อให้เป็นอาชีพที่มั่นคงของชาวบ้านในละแวกนั้น ๆ ทีเดียว
               “ไก  เป็นสาหร่ายน้ำจืดที่ขึ้นอยู่บนก้อนหินในน้ำไหลเอื่อย ๆ  ที่ค่อนข้างใสและเป็นน้ำที่มีคุณภาพดี    ไก  มีลักษณะเป็นเส้นสายยาวสีเขียวสด  พบมากในฤดูหนาวจนถึงฤดูฝน  ระหว่างเดือนพฤศจิกาถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี  แหล่งน้ำบริเวณที่มีสาหร่ายไกมาก
เป็นพิเศษในประเทศไทยนั้นมี 
2  แหล่ง  คือ 
 
               -  แม่น้ำน่าน  จังหวัดน่าน  ตั้งแต่ต้นน้ำที่อำเภอทุ่งช้างเรื่อยไปจนถึงแม่น้ำ น่าน   
                   อำเภอเวียงสา  แต่จะมีมากที่สุดที่อำเภอท่าวังผา
   -  แม่น้ำโขง  บริเวณอำเภอเชียงของ  จังหวัดเชียงราย 
      “ไก  จะมีอยู่ 3 ชนิด  คือ
1.  ไกเหนียวหรือไกค้าง  มีสีเขียวเข้มยาว ไม่แตกแขนง เนื้อไม่ฟู มีน้ำหนักพอสมควร
      ยาวประมาณ 2     เมตร
2.  ไกเปื้อยหรือไกไหม  เกาะหินเป็นกระจุกแล้วกระจาย แผ่ออกไปเป็นเส้นเล็กฝอยมีจำนวนเส้นมาก  
     เส้นเหนียวและลื่น สีเขียวซีดยาวประมาณ 80 เซนติเมตร
3.  ไกต๊ะ  ลักษณะออกเป็นกระจุกอยู่ปนกับไกไหม เส้นสั้นและมีความลื่นมาก
                    การเก็บสาหร่ายไกจากแหล่งน้ำธรรมชาตินั้น  ชาวบ้านจะรอให้สาหร่ายเจริญเต็มที่ซึ่งจะมีขนาดยาวมากตั้งแต่ครึ่งเมตร  ไปจนถึง  4 - 5  เมตร  โดยการ  "จกไก" ซึ่งก็คือ  การดึงสาหร่ายที่มีขนาดยาวพอเหมาะออกจากก้อนหินแล้วส่ายไปมาในน้ำให้ดินหรือสิ่งที่เกาะมาหลุดออกไป  พาดไว้บนท่อนแขน  สะสมไปเรื่อย ๆ จนมากพอก็จะม้วนให้เป็นกลุ่มก้อน  นำไปตากหรือแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่าง ๆ ต่อไป
                     จากความมากมายของสาหร่ายไกในลำน้ำน่านและลำน้ำโขงนี้เอง  ทำให้เกิดภูมิปัญญาชาวบ้าน  นำสาหร่ายเหล่านี้ไปแปรรูปเป็นอาหารมากว่า 100 ปี  อาหารดั้งเดิมที่ชาวบ้านทั้ง 2 แหล่งน้ำ  ทำมาจากสาหร่ายชนิดนี้  คือ  ไกยี   และ  "ห่อนึ่งไก   ซึ่งมีหน้าตาคล้าย ๆ กันทั้ง 2 ชุมชน    ไกยี  นั้นทำได้โดยนำสาหร่ายไกมาตากให้แห้ง  แล้วนำมาผิงไฟให้กรอบ  จากนั้นก็ใช้มือบดขยี้  หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า  ยี  ให้สาหร่ายแตกออกเป็นแผ่นเล็ก ๆ หรืออาจจะให้เล็กจนเกือบป่นเลย  หลังจากนั้นนำมาปรุงรสด้วย  เกลือ  และงาขาวคั่ว  จะได้  ไกยี”  ที่มีรสชาติดี  หอมทั้งกลิ่นธรรมชาติของสาหร่ายและงาคั่วรสเค็มปะแล่ม ๆ ทานกับข้าวเหนียวร้อน ๆ  ส่วนห่อนึ่งไกนั้นทำคล้ายกับห่อหมก  เพียงแต่เปลี่ยนจากปลามาเป็นสาหร่ายไกสด  คลุกกับน้ำพริกแล้วนำไปนึ่งก็อร่อยไม่แพ้ห่อหมกเลยจริง ๆ ต่อมาก็มีการประยุกต์โดยการแปรรูปสาหร่ายไกให้เป็นสาหร่ายแผ่นกรอบ โดยนำสาหร่ายไกที่ตากแห้งปรุงรสด้วยเกลือ  กระเทียม  มาทอดให้กรอบ  สามารถจำหน่ายได้และขายดีทีเดียว  ข้าวเกรียบไกก็เป็นสินค้าอีกประเภทหนึ่ง  ซึ่งปรุงง่ายและขายง่าย  นอกจากนี้ยังมีบะหมี่ไก  ข้าวตังหน้าสาหร่ายไก  กะหรี่ปั๊บไส้สาหร่ายไก  คุกกี้สาหร่ายไก  กรอบเค็ม  กล้วยตากผสมสาหร่ายไ  หรือแม้กระทั่งน้ำพริกไก  ซึ่งผลิตภัณฑ์ทุกอย่างก็ได้ทยอยออกมาจำหน่าย  แต่เป็นการจำหน่ายภายในชุมชน  ตัวเมือง  หรือภายในจังหวัดที่ตนเองอยู่  บางครั้งอาจมีการจำหน่ายไปยังจังหวัดอื่น ๆ แต่ก็ไม่บ่อยนัก  และมักจะเป็นช่วงสั้น ๆ ทั้งนี้เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ออกมายังต้องมีการปรับปรุงบ้างในเรื่องคุณภาพ  ที่ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน  มักจะหายกรอบหรือมักจะมีกลิ่นหืน  รวมทั้งผลิตภัณฑ์ยังมีความหลากหลายเฉพาะกลุ่ม  ซึ่งต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายในกลุ่มอื่น ๆ ให้มากขึ้น  และเพื่อจำหน่ายได้กว้างขวางกว่าปัจจุบัน
                  คุณค่าของสาหร่ายไก  มีปริมาณโปรตีนสูงกว่าปลาน้ำจืดทั่วไป  ทดแทนการกินปลาได้เป็นอย่างดี  และที่โดดเด่นคือ มีซิลีเนียม  ซึ่งเป็นสารป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระสูงมาก  มีเบต้าแคโรทีนที่มากกว่าแครอทถึง 4 เท่า  ช่วยลดคลอเลสเตอรอลจึงไม่ทำให้อ้วน  นอกจากนั้น  ชาวบ้านมีความเชื่อว่า  การทานสาหร่ายไกนี้  จะทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย  ผมดกดำ  ไม่หงอกง่าย  และชะลอความแก่
                  ถ้ามองด้านสรรพคุณทางยาก็จะพบว่าสาหร่ายไก  มีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มยับยั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ  ขยายหลอดลม  ต้านการอักเสบ ระงับปวด  และลดความดันโลหิตได้ด้วย  ซึ่งสรรพคุณดังกล่าวน่าสนใจมากทีเดียว
                   เมื่อรู้คุณค่าและประโยชน์ของสาหร่ายไกดังนี้แล้ว  ก็ขอเชิญชวนทุกท่านหันมาบริโภคสาหร่ายไกกันให้มากยิ่งขึ้น   เพราะเป็นผลดีทั้งต่อผู้บริโภคเองและผู้ผลิตในชุมชนด้วย



วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การใช้ประโชยน์จากสาหร่าย

การใช้ประโยชน์จากสาหร่าย
- ใช้เป็นอาหารมนุษย์ มนุษย์รู้จักนำสาหร่ายมาใช้เป็นอาหารนานนับพันปีแล้ว เช่น ชาวจีน ญี่ปุ่น ใช้สาหร่ายสีน้ำตาล (Laminaria) และสาหร่ายสีแดง (Porphyra) หรือที่เรียกว่า จีฉ่าย มาทำอาหารพวกแกงจืด ญี่ปุ่นผสม Chlorella sp. ลงในชา ซุป น้ำผลไม้ บะหมี่ และไอศครีม สำหรับห้องปฏิบัติการสาหร่ายตามธรรมชาติ คัดแยกสายพันธุ์บริสุทธิ์ วิเคราะห์ปริมาณโปรตีน 40-50% ศึกษาปัจจัยที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายในห้องควบคุมเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเลี้ยงในอ่างขนาดใหญ่เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรม ซึ่งผลงานวิจัยมีมากมาย เช่น การเพาะเลี้ยงสาหร่าย Spirulina Sp. ในอาหารเลี้ยงเชื้อที่มีโซเดียมไบคาร์บอเนตระดับต่าง ๆ กัน การคัดเลือกหาสภาวะที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงสาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียว Spirulina Sp. เพื่อใช้เป็นอาหารมนุษย์ การเพาะเลี้ยงสาหร่ายพันธุ์พื้นบ้านเพื่อหาปริมาณโปรตีนเปรียบเทียบกับพันธุ์ Scenedesmus acutus (Selection of Local Algal Strains Related to Protein Content Compared with Scenedesmus acutus) เปรียบเทียบการเจริญเติบโตของสาหร่ายจากการเพาะเลี้ยงด้วยอาหารเลี้ยงเชื้อ 2 ชนิด (Growth Comparison of Green Algec Cultivated in Two Different Media.)


        สำหรับสาหร่ายเกลียวทอง เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบันในรูปของอาหารเสริมสุขภาพ เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่นคือ มีปริมาณโปรตีนสูงถึง 60% และเป็นโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นกระจัดกระจายอยู่ในเซลล์อย่างได้สัดส่วน มีวิตามิน เกลือแร่ และสารให้สีธรรมชาติจำนวนมาก นอกจากนี้สาหร่ายเกลียวทองยังมีเซลล์ขนาดใหญ่ สามารถเก็บเกี่ยวได้ง่าย ผนังเซลล์บาง จึงถูกย่อยและดูดซึมได้เร็วกว่าสาหร่ายสีเขียวซึ่งมีผนังเซลล์หนา
- ใช้เป็นอาหารสัตว์ สาหร่ายสามารถนำไปเลี้ยงสัตว์กระเพาะเดี่ยว เช่น หมู และสัตว์ปีกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สาหร่ายยังเป็นอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการเลี้ยงสัตว์น้ำวัยอ่อนที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น ปลา กุ้งและแพลงตอนสัตว์ เช่น ไรแดง ไรน้ำเค็ม ในประเทศญี่ปุ่นใช้สาหร่ายเกลียวทองเลี้ยงปลาไหล ปลาเทร้า กุ้ง ปลาคาร์พสี เป็นต้น ทำให้เศรษฐกิจของอุตสาหกรรมการเลี้ยงปลาสวยงามได้พัฒนาก้าวไกลออกไปมาก ผลงานวิจัย เช่น การเลี้ยงสาหร่าย Spirulina Sp. จากน้ำทิ้งแหล่งชุมชนเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ การศึกษาปริมาณความเข้มข้นที่เหมาะสมของสาหร่าย Chlorella Sp. (K3) สำหรับนำไปเลี้ยงพวกไดอะตอม แพลงตอนสัตว์ (Lapadella benjamini) ที่ระดับความหนาแน่นแตกต่างกัน การนำ Chlorella Sp. ที่ได้จากการเลี้ยงในน้ำทิ้งโรงงานผลิตน้ำนมถั่วเหลืองมาเลี้ยงไรแดง ความเป็นไปได้ในการเลี้ยงหอยมุกน้ำจืด Chamberlai hainesiana ด้วยสาหร่ายชนิดต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการ เป็นต้น
- ใช้ในการกำจัดน้ำเสีย การใช้สาหร่ายในการกำจัดน้ำเสียร่วมกับแบคทีเรีย โดยแบคทีเรียจะทำการย่อยสารประกอบอินทรีย์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ให้เป็นสารประกอบอนินทรีย์ เช่น แอมโมเนียม ไนเตรต คาร์บอนไดออกไซด์ และเกลือแร่ต่าง ๆ ในสภาพการเกิดที่มีอากาศ (aerobic) หรือไม่มีอากาศ (anaerobic) จากนั้นสาหร่ายจะใช้สารประกอบเหล่านี้ในกระบวนการเมตาบอลิสมต่าง ๆ สำหรับสาหร่ายที่ได้จากระบบกำจัดน้ำเสียนี้ อาจนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ ปุ๋ยพืชสด หรือใช้ในการทำแก๊สชีวภาพได้ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้แก่ การศึกษาการเจริญเติบโตของสาหร่าย Spirulina platensis ที่เพาะเลี้ยงในมูลหมูผสมมูลไก่ที่มีการหมุนเวียนของสารอาหารแตกต่างกัน การผลิตสาหร่ายเกลียวทอง จากน้ำทิ้งโรงงานแป้งมันสำปะหลัง การเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทองจากน้ำทิ้งโรงงานน้ำอัดลม เป็นต้น
- ใช้เป็นปุ๋ยชีวภาพ สาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียว (Blue green algae) รู้จักกันแพร่หลายในแง่ของการใช้เป็นปุ๋ยชีวภาพ จากการวิจัยของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พบว่าสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินในนาข้าวบางชนิดสามารถตรึงไนโตรเจนในอากาศให้เป็นสารประกอบไนโตรเจน เช่น แอมโมเนียม ทำให้ข้าวเจริญเติบโต ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ Anabaena sp. และ Nostoc sp. พันธุ์ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พบในประเทศและให้ผลผลิตดี มีชื่อว่า Anabaena siamensis
- ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง สาหร่ายประกอบด้วยสารเคมีบางชนิดที่ช่วยในการรักษาผิวหนัง ชนเผ่า Kanembu ที่อยู่รอบทะเลสาบชาด ได้ใช้สาหร่ายเกลียวทองรักษาโรคผิวหนังบางชนิด การศึกษาในประเทศญี่ปุ่นพบว่า เครื่องสำอางที่ผสมสาหร่ายและสารสกัดจากสาหร่ายเกลียวทองช่วยให้ผิวพรรณดีขึ้นและลดริ้วรอย ส่วนในประเทศไทยก็ได้มีบริษัทหลายแห่งที่ใช้สาหร่ายเกลียวทองเป็นเครื่องสำอางในรูปครีมบำรุงผิว
- ใช้ในอุตสาหกรรมยา นักวิทยาศาสตร์และนายแพทย์หลายท่านได้ทดลองใช้สาหร่ายเกลียวทองในการป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคกระเพาะ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดและความไม่สมดุลในร่างกาย ในประเทศฝรั่งเศส ได้ทดลองใช้ยาที่ผสมสาหร่ายเกลียวทองทาแผล ทำให้แผลแห้งเร็วขึ้น ธาตุแมกนีเซียมในคลอโรฟิลล์ยังมีบทบาทอย่างสำคัญในการรักษาบาดแผล มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อป้องกันการเกิดของแบคทีเรียและช่วยสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ด้วย คลอโรฟิลล์ในสาหร่ายมีโครงสร้างเหมือนสารสีแดงในเลือด (hemo-globin) นักวิทยาศาสตร์จึงแนะนำให้ใช้คลอโรฟิลล์รักษาโรคโลหิตจาง นอกจากนี้สาหร่ายบางชนิดสารปฏิชีวนะซึ่งเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์ ได้แก่ cyanophycin หรือ marinamycin ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ ได้ สาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียว scytonema No.11 เป็นสาหร่ายที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย แยกได้จากดินนาจังหวัดพิษณุโลก พบว่า สามารถผลิตสารปฏิชีวนะ Cyanobacterin ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นทั้ง algicide และ bacteriocide ที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของสาหร่ายและแบคทีเรียบางชนิดได้
- ใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ
สาหร่ายสีแดงพวก Gelidium, Gracilaria สามารถนำไปสกัดทำเป็นวุ้น เพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาหาร และเป็นอาหารเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์
สาหร่ายสีน้ำตาลพวก Laminaria, Ascophyllum, Macrocystis นำไปสกัดเป็น แอลจินหรือแอลจิเนต ซึ่งนำไปใช้ในการทำนม ขนมปัง ไอศครีม ขนมหวาน ลูกกวาด สบู่ แชมพูสระผม เป็นต้น
ปัจจุบันห้องปฏิบัติการสาหร่ายนอกจากจะพัฒนากรรมวิธีการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเป็นแหล่งอาหารโปรตีนแล้ว ยังได้นำสายพันธุ์สาหร่ายที่มีศักยภาพที่สามารถผลิตในทางการค้า เช่น Chlorella, Scenedesmusbs Spirulina, Dunaliella, Haematococcus มาศึกษาหาสภาวะที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงเพื่อผลิตสารอาหารหรือสารเคมีที่มีมูลค่าสูง รวมทั้งวิธีการสกัด การนำไปใช้ประโยชน์และการแปรรูปในด้านต่าง ๆ นอกจากนี้ห้องปฏิบัติการสาหร่ายยังให้บริการสายพันธุ์สาหร่าย ให้คำปรึกษา แนะนำด้านการเพาะเลี้ยงและการใช้ประโยชน์จากสาหร่ายแก่นิสิต นักศึกษาและประชาชนที่สนใจ